สาธารณรัฐแห่งสหภาพ เมียนมาร์



ชื่อหนังสือ  สาธารณรัฐแห่งสหภาพ เมียนมาร์
ผู้เขียน  คัทลียา  เหลี่ยมดี
สำนักพิมพ์  บริษัทวีพริ้นท์ (1991)  จำกัด
พิมพ์ครั้งที่  1  ปีที่พิมพ์  2555

ประวัติศาสตร์และตำนาน
       ชนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดีและชายฝั่งเทือกเขาตะนาวศรี  อยู่มาจนถึงปัจจุบันก็คือ  ชนชาติมอญ  มีอาณาจักรสุวรรณภูมิที่เรืองอำนาจในสมัยเมื่อประมาณ  300  ปีก่อนคริสตกาลหรือราวพุทธศตวรรษที่  2  เป็นอาณาจักรที่ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาจากชมพูทวีปหรืออินเดีย  ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  อาณาจักรสุวรรณภูมิเจริญรุ่งเรื่องอย่างมาก  ก่อนที่ชนชาติพยู  หรือชาวพม่าจะเข้ามาเผยแพร่อิทธิพล  ตั้งเป็นอาณาจักรศรีเกษตรเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่  5  เป็นอาณาจักโบราณของเมียนมาร์  ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคอาณาจักรพุกาม  อันเป็นยุคของประวัติศาสตร์ชาติเมียนมาร์ในเวลาต่อมา

การเมืองการปกครอง
       พม่ามีรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ โดยมีรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาประชาชน สภาชาติพันธ์และสภาท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภามาจากการเลือกตั้ง โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาล
       ก่อนปี พ.ศ. 2554 พม่ามีระบอบการปกครองโดยรัฐบาลทหาร ภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council- SPDC) โดยมีประธาน SPDC เป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ในช่วงเวลาดังกล่าว พม่ามักถูกประชาคมโลกตำหนิเกี่ยวกับระบบการปกครอง ซึ่งใช้การปกครองคือ ระบอบเผด็จการทหาร (Military Council) แต่ก็เป็นเพราะปัจจัยภายในประเทศที่คณะรัฐบาล จะต้องหาทางแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติมากที่สุด อันอาจเป็นประเด็นที่ประชาคมโลกไม่อาจเข้าใจปัญหาภายใน ซึ่งเป็นปัจจัยเฉพาะของพม่าเอง

เศรษฐกิจ
       เศรษฐกิจเมียนมาร์ในสมัยระบอบสมบูรณาญาวสิทธิราชย์  เป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง  และมีพัฒนาการเพิ่มผลผลิตเพื่อค้าขาย  ด้วยการปลูกพืชสวน  พืชไร่  เพิ่มมากขึ้น  รวมถึงการค้ากับต่างประเทศมีมากตามเมืองท่าต่างๆ ที่จะมีพ่อค้าชาวจีนและชาวตะวันตกเข้ามาทำการค้าขายกับเมียนมาร์เป็นจำนวนมาก  ซึ่งได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในเมียนมาร์  เมื่อยุโรปทำการปฏิวัติอุตสาหกรรม  เมียนมาร์จำต้องเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คนเมียนมาร์
       ประชากรเมียนร์มาร์จำนวนเกือบ  60  ล้านคนนั้น  มีความหลากหลายทางเชื้อชาติอย่างมาก  ทางการเมียนมาร์ให้การรับรองกลุ่มชาติพันธุ์  135  กลุ่ม  มีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารมากกว่า  240  ภาษา  ชนกลุ่มต่างๆส่วนใหญ่มีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเทือกเขาในประเทศจีนและอินเดียก่อนจะกระจายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมียนมาร์  สัดส่วนของกลุ่มชาติพันธุ์ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ  ส่วนใหญ่เกินครึ่งเป็นชาวพม่า (บะหม่า)  ชาวไทใหญ่ (ฉาน)  ร้อยละ  9  ชาวกะเหรี่ยง  ร้อยละ  7  ชาวยะไข่  ร้อยละ  3.5  ชาวจีน  ร้อยละ  2.5  ชาวมอญ  ร้อยละ  2  ชาวอินเดีย  ร้อยละ  1.25  ชาวคะฉิ่น  ร้อยละ  1.5  และอื่นๆ  อาทิ  ชาวกะยาห์  ชาวว้า  อีกร้อยละ  4.5

การแต่งกายของคนเมียนมาร์
       การแต่งกายของพม่านั้นมีรูปแบบที่หลากหลายขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ, สภาพภูมิศาสตร์, สภาพภูมิอากาศและประเพณีวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละภาคของประเทศเมียนมาร์ การแต่งกายที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของชาวเมียนมาร์คือ ลองยี เป็นโสร่งแบบหนึ่งจัดเป็นการแต่งกายประจำชาติ สวมใส่โดยทั้งชายและหญิงทั่วประเทศ เสื้อผ้าพม่ายังมีความหลากหลายในแง่ของสิ่งทอสานเส้นใยสีและวัสดุเช่น ผ้ากำมะหยี่ ผ้าไหม ผ้าลูกไม้ ผ้ามัสลิน  และผ้าฝ้าย

สรุปใจความสำคัญ
       การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนนั้น จะมีการพัฒนาทั้งสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองไปพร้อมกัน โดยไม่มีปัญหาเรื่องเขตแดนทางการเมืองการปกครองมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นในการพัฒนา ดังคำขวัญของประชาคมอาเซียนที่ว่า "หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม (One Vision, One Identity, One Community)" การเคลื่อนย้ายทุน แรงงาน องค์ความรู้ ภาษา และวัฒนธรรมระหว่างประเทศอาเซียน จะเป็นปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
    "เมียนมาร์" หรือ "สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนพร้อมกับ "ลาว" เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.1997 นับเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจับตามอง "เมียนมาร์" เป็นประเทศใหญ่มีประชากรและทรัพยากรทางธรรมชาติอันหลากหลาย โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นที่ต้องการของโลกยุคปัจจุบัน รอเพียงการเมืองการปกครองภายในประเทศเป็นประชาธิปไตย เป็นที่ยอมรับของชาวโลก เมื่อนั้น "เมียนมาร์" ย่อมโดดเด่นในเวทีโลก

การนำไปใช้
       รู้จักประเทศเมียนมาร์  เมื่อจะไปที่นั่นก็ได้รู้จักประเทศนั้น  ได้ทำความเข้าใจ  นำไปประกอบกับการเรียนในรายวิชา  สังคมศึกษาได้

6 ความคิดเห็น: